Thursday, June 9, 2011

Tomato Noodle Healthy! ที่ธนิยะ



เมื่อวานเย็นไปทำธุระขอวีซ่าไปญี่ปุ่นกับเอที่ VFS Global ชั้น 15 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ครับ เสร็จธุระราว 5 โมงครึ่ง เลยกะว่าจะลองราเมงร้านนึงที่ทั้งม้งและพี่เล็กก็แนะนำมานาน รวมถึงเคยเดินผ่านหลายครั้งแล้วเวลาไปทาน Gyunoya แต่ไม่เคยแวะลองซักที วันนี้ได้โอกาสเลยตั้งใจจะมาลองสักหน่อย
ก็คือร้าน Tomato Noodle Healthy หรือร้านราเมงมะเขือเทศนั่นเอง ร้านอยู่ในซอยเดียวกับ Gyunoya นั่นเอง แต่ถ้าหากเดินเข้าจากทางสีลม ก็จะถึงก่อนนิดนึง ไปถึงร้านไม่น่าเชื่อว่าที่นั่งเต็มไปซะแล้ว เลยต้องยืนรอสักครู่ พร้อมกันนั้นก็ดูเมนูเตรียมสั่งไว้เลย
ดูไปดูมาก็ตกลงเลือกเอาเซ็ต ราเมงมะเขือเทศสูตรต้นตำรับแบบดีลักซ์ พร้อมกับข้าวหน้าหอมญี่ปุ่นหมูย่าง เลือกแบบไซส์ M ไปเลย เพราะทานกัน 2 คน รวมแล้วก็ราคา 280 บาท ถือว่าถูกลงไปเยอะ เมื่อเทียบกับสั่งเดี่ยว ๆ
ลืมบอกไปว่า ร้านนี้ที่นั่งก็เป็นเคาน์เตอร์เช่นเดียวกับ Gyunoya นั่นเอง มีที่นั่งประมาณ 12 ที่ แต่รู้สึกแคบกว่าเล็กน้อย
รอสักครู่อาหารก็ยกมาถึงที่ ราเมงที่ได้หน้าตาเป็นแบบนี้



รสชาติที่ได้ถือว่าผิดคาด เนื่องจากอร่อยมาก ตอนแรกนึกว่าจะมีกลิ่นมะเขือเทศมากเสียอีก แต่กลายเป็นว่ารสชาติของมะเขือเทศสามารถผสมผสานกับน้ำซุปได้อย่างลงตัว กลมกล่อมเป็นอย่างดี ส่วนหมูชาชูอาจไม่ถูกใจบางคนเนื่องจากหมักไม่ค่อยเข้าเนื้อมากนัก ส่วนไข่ก็เป็นไข่ต้มธรรมดา ไม่ใช่ต้มซอสคล้ายไข่พะโล้แบบบางร้าน

ส่วนอีกจานนั้นก็คือ ข้าวหน้าหอมญี่ปุ่นหมูย่าง รสชาติถือว่าใช้ได้ทีเดียว หมูค่อนข้างนุ่มแม้ว่าจะติดมันไปสักนิด แต่ก็ต้องลืมความอ้วนลงบ้างจะอร่อยขึ้น แต่ขอติงไว้นิดนึงว่า ใครที่ไม่ชอบหวานอาจไม่ถูกใจเพราะรสชาติติดหวานไปนิดนึง ถ้าปรับลดความหวานลงและใส่โชยุมากขึ้นก็น่าจะดี


โดยสรุปแล้ว ในเรื่องของราเมง ถือว่าสอบผ่านฉลุยไปเลย ด้วยเส้นที่เหนียวนุ่ม น้ำซุปที่กลมกล่อม จะมีข้อติงก็ในเรื่องของหมูชาชูและไข่ต้มตามที่กล่าวมาแล้ว
ส่วนข้าวหน้าหมูย่างนั้นก็นุ่มลิ้นดี แต่รสชาติออกหวานเล็กน้อย

คงได้อุดหนุนเป็นครั้งต่อไปแน่นอนครับ

Monday, September 20, 2010

ม.ม้า ซีฟู้ด ที่พัทยา


เนื่องจากได้ซื้อ voucher ของโรงแรม Centara Grand Mirage ที่พัทยาไว้นานแล้ว แต่ไม่ว่างไปเสียที เมื่อเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา (18-19 ก.ย.) จึงมีโอกาสได้ใช้งานในที่สุด ขับไปถึงตั้งแต่ 10 โมงกว่า ๆ ซึ่งยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน เลยไปตระเวณขับรถเล่นที่เขาพระตำหนัก จุดชมวิวบนสถานีวิทยุ สทร. กัน เสร็จแล้วก็ 11 โมงเศษ เริ่มหิว นึกขึ้นได้ว่ามีร้านอาหารทะเลที่ปิ่นโตเถาเล็กแนะนำอยู่ ถ.สุขุมวิท-พัทยา 14 ชื่อว่า "ม.ม้า ซีฟู้ด"

ไปถึงเป็นลูกค้าคู่แรก เลือกที่นั่งตามสบาย ร้านตั้งอยู่ริมคลองหลอด เป็นคลองเล็ก ๆ แต่น้ำไหลแรงเหมือนกัน บรรยากาศของร้านจัดว่าใช้ได้

ตามชื่่อร้านเลย ของอร่อยน่าจะเป็น "ปูม้า" เลยสั่งปูม้านึ่้่งมาก่อนเลย วันนี้ปูม้าตัวไม่ค่อยโตเท่าไร ประมาณ 4 ตัว/กิโล เลยสั่งมา 3 ตัว (โลละ 400)

ปูม้าของที่นี่สดสมชื่อ เนื้อหวาน อร่อย แต่เขาไม่ได้ทุบมาให้นะครับ ต้องมาแกะเอง แต่ทางร้านได้เตรียมไม้ทุบพร้อมกับไม้รองมาให้ด้วยแล้ว แต่การแกะก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก เพราะกระดองปูม้าไม่ค่อยแข็งอยู่แล้ว

เมนูต่อมาก็ต้องเป็นจานปลากันบ้าง โดยหนนี้เราสั่ง ปลากระพงทอดราดน้ำปลา (280 บาท)

ค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย เนื่องจากปลาตัวเล็กไปหน่อย และการทอดเขาไม่ได้ผ่าครึ่งปลาเหมือนอย่างที่ชอบ เลยไม่ค่อยชอบใจกับอาหารจานนี้นัก

อาหารประเภทน้ำ ที่เราชอบก็หนีไม่พ้น โป๊ะแตก (150 บาท)

แต่โป๊ะแตกที่นี่มีเนื้อสัตว์น้อยไปหน่อย กุ้ง ปลาหมึก ปู ปลาเล็กน้อย แต่รสชาติถือว่าจัดจ้านใช้ได้

สรุปแล้ว มื้อนี้หมดค่าเสียหายไปทั้งสิ้น 885 บาท ถือว่าค่อนข้างแพงทีเดียวเมื่อเทียบกับปริมาณและคุณภาพของอาหาร แต่ตามที่ร่ำลือกันว่า อาหารที่พัทยามีราคาแพงอยู่แล้ว

ส่วนในเรื่องรสชาติ ยังไม่ค่อยประทับใจมากนัก จึงคิดว่ายังไม่น่าจะ recommend ร้านนี้ให้ใคร

Thursday, September 2, 2010

Bankara Ramen ราเมงรสเข้มข้น





หลังจากที่ไปทานมาหลายครั้งแล้ว ก็ได้ฤกษ์ทำการรีวิวเสียทีนะครับ สำหรับร้าน Bankara Ramen ร้านนี้

ถ้าหากจะไปทานมื้อกลางวัน ทางที่ดีคิดว่าน่าจะไปตั้งแต่ก่อนเที่ยงเป็นดีที่สุดครับ เนื่องจากผมมาถึงร้านประมาณ 11 โมงครึ่ง หิวกำลังดี ตอนนั้น โต๊ะก็เกือบเต็มไปแล้ว พอออกมาก็เห็นมีคิวอยู่ประมาณ 4-5 กลุ่ม

สำหรับร้านนี้ มีราเมงให้เลือกหลายอย่าง


ราเมงที่ผมชอบทานก็เป็นน้ำซุปกระดูกหมู หรือที่เรียกว่าทงคตสึ ซึ่งไปกี่ครั้งก็เลือกทานน้ำซุปแบบนี้ตลอด มาคราวนี้ขอลองของใหม่บ้าง โดยเลือกเป็นน้ำซุปกระดูกหมูใส่มิโสะ แล้วเพิ่มทอปปิ้งเป็นไข่ยางมะตูม (tamago) และหมูบูตะด้วย



รู้สึกว่ามันจะน้อยกว่าน้ำซุปทงคตสึแท้ ๆ นะครับ ออกจะเลี่ยนเล็กน้อย แต่ทนไหว สำหรับสิ่งที่ชอบของร้านนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือ มีเครื่องปรุงให้เลือกเยอะกว่าร้านอื่น ๆ ที่เห็นฝาแดง ๆ นั่นก็คือ งาขาว ใส่ลงไปในราเมงแล้วทำให้รู้สึกเข้มข้นขึ้นครับ


ส่วนนี่เป็นของโปรดเลย กระเทียมสดครับ ใส่ลงไปในที่บด ออกมาเป็นกระเทียมบด เพิ่มความแซ่บให้กับราเมงได้อีกมากมาย


อันที่จริง วันนั้นสั่งคาคูนิมาด้วย แต่ถ่ายรูปมาแล้ว ไม่ติดซะงั้น ไม่ทราบมีปัญหาอะไร เอาไว้วันหลังจะมาโพสต์ใหม่นะครับ คาคูนิก็คือ หมูสามชั้นตุ๋นนั่นเอง เสิร์ฟมาพร้อมกับต้นหอมสด ซึ่งหั่นตามยาว กินเข้ากัน พร้อมกับกระเทียมบด อร่อยสุดยอดครับ


สนนราคาอาจจะสูงบ้าง แต่ก็ตามมาตรฐานร้านราเมงญี่ปุ่นทั่วไป ที่สำคัญ อร่อยมากครับ

สำหรับการเดินทางนั้น มาตามถนนสุขุมวิท เลี้ยวเข้าซอย 39 ตรงเข้าไปประมาณ 400 เมตร ร้านจะอยู่ในเวิ้งเรียกว่า "The Manor" สามารถจอดรถข้างในได้เลย อย่าลืมนะครับ มื้อกลางวันควรมาก่อนเที่ยง มื้อเย็นควรมาราว 6 โมง :-) ไม่งั้นอาจต้องรอนิดหน่อยครับ

Monday, August 23, 2010

ไปลองชิมบะหมี่ญี่ปุ่นแบบแยกน้ำที่ Yamagishi Ganso Tsukemen, K-Village



วันเสาร์ที่ผ่านมา (21 ส.ค.) ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ตามปกติทุกไตรมาส เสร็จแล้วไปรับเอซึ่งไปช่วยงานที่สภาวิชาชีพบัญชีแถวอโศกประมาณ 11 โมงกว่า เลยตกลงไปเดินที่ K-Village กันเพราะยังไม่เคยไปเลย ขับไปตามสุขุมวิทเรื่อย ๆ เลี้ยวเข้าซอย 26 ไปตามซอยจนเกือบออกพระราม 4 อยู่ติดกันกับคาร์ฟูร์พระราม 4 เลยครับ ถ้าไปก่อนเที่ยง ไม่น่ามีปัญหาเรื่องที่จอดรถ แต่ตอนผมกลับช่วงเกือบบ่าย 2 เห็นรถวนหาที่จอดกันพอสมควรเลยครับ

เคยอ่านในโพสต์ทูเดย์ว่ามีร้านราเมง ที่มีราเมงแบบแยกเส้นมาให้ลอง เดินหาอยู่สักพักก็พบว่าอยู่ชั้นสอง โซนเอ นั่นเอง ชื่อว่า "Yamagishi Ganso Tsukemen"

(ลืมถ่ายภาพหน้าร้าน เลยขอยืมภาพจากเวบของ K-Village มานะครับ)

เดินเข้าไปในร้าน ลูกค้ายังไม่มากเท่าไหร่ พนักงานก็พาไปนั่งที่โต๊ะทันที


(ขอบคุณภาพเมนูจากคุณ St.Gizmo ครับ)

ดูเมนูแล้ว เออยากลอง Tsukemen ก็เลยสั่งดู ส่วนอีกชามของตัวเองเป็นราเมงธรรมดา ช่วงนี้ถ้าสั่งชุดแบบนี้ ขนาดกลางขึ้นไป สามารถเลือกรับข้าวผัด ข้าวหน้าเต้าหู้ทรงเครื่อง หรือว่าไก่ทอดก็ได้ เลือกเอา 1 อย่าง และจะได้ของหวานเป็นถั่วแดงเย็นพร้อมแป้งโมจิด้วย ก็เลยเลือกเอาข้าวผัดกับข้าวเต้าหู้ทรงเครื่องไป

รอไม่นานมาก เจ้า Tsukemen ก็มาถึง (ในภาพอยู่ด้านไกล) จะเป็นชนิดเส้นเย็น มากับน้ำซุปร้อน คีบเส้นไป แล้วก็ซดน้ำตาม น้ำซุปมีไข่ต้มยางมะตูมและชาชูด้วย รสชาติออกเปรี้ยวนำ เอไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ และน้ำซุปก็น้อยเกินไปด้วย ก็ถือว่าลองชิมละกัน ชามกลางราคา 195 บาท

ส่วนราเมงของผมนั้น รสชาติจัดว่าใช้ได้ทีเดียว แต่ราคาออกแพงเล็กน้อย ชามใหญ่ 225 บาท ชาชูมีให้ชิ้นเดียว แต่หน่อไม้กับไข่ต้มก็อร่อยดีครับ

มาว่ากันถึงของแถมบ้าง สำหรับข้าวผัด ไม่แน่ใจว่าผัดกับอะไร เป็นไก่ฉีกหรือปลาฉีกไม่ทราบนะครับ แต่จะออกแห้ง ๆ หน่อย รสชาติผมว่าธรรมดา ส่วนข้าวหน้าเต้าหู้ทรงเครื่อง รสชาติยังไม่กลมกล่อมมาก ตัวหมูสับเนื้อละเอียดเกินไปทำให้ไม่ได้ texture (แหะ ๆ) ส่วนซอสก็รสแปลก ๆ ครับ ทั้ง 2 อย่างทานไม่หมด อาจจะเป็นเพราะอิ่มก็ได้ครับ แต่ของหวานที่เป็นถั่วแดงเย็น อร่อยดี แป้งโมจิก็หนึบดีครับ ถูกใจ

โดยสรุป ตัว Tsukumen นั้น ไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ แต่ถ้าใครชอบเปรี้ยวก็อาจจะถูกใจได้ ส่วนราเมงนั้นรสชาติโอเชเลยทีเดียว เสียตรงที่ราคาค่อนข้างแพงเทียบกับปริมาณของเครื่องเคียงครับ ใครยังไม่เคยลองชิม Tsukemen ก็เชิญไปที่ร้านเพื่อลิ้มลองได้ครับ

Monday, August 16, 2010

เรื่องดี ๆ ของสนามบินสุวรรณภูมิ

สืบเนื่องจากที่ได้ไปเชียงใหม่มา ขากลับโดยเครื่อง Bangkok Airways ได้ลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตอนไปรับกระเป๋า ได้เห็นพัฒนาการในทางที่ดีของสนามบินแห่งชาติของเรา
ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีมานานแล้วหรือยังครับ เพราะไม่ได้ลงที่นี่มา 3 เดือนแล้ว โดยพนักงานได้จัดเอารถเข็นมาจอดไว้ที่ belt เรียงอยู่รอบ ๆ เตรียมไว้ให้ผู้โดยสาร ถือเป็นความคิดที่ดีมากและอำนวยความสะดวกสำหรับผู้โดยสารมากครับ ขอชมเชยผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยครับที่มุ่งพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิของเราเพื่อให้ก้าวสู่ Top 5 ต่อไปในอนาคต

"ห้อยเทียนเหลา" อาหารจีนรสชาติถูกปาก ราคาถูกใจ

ช่วงสัปดาห์วันแม่แห่งชาติ (12 ส.ค.53) ได้มีโอกาสกลับบ้านที่เชียงใหม่เพื่อไปกราบคุณแม่ รวมถึงไปเยี่ยมครอบครัวด้วยครับ ได้ไปทานอาหารร้านอร่อย ๆ หลายแห่ง เลยอยากจะขอแนะนำร้านอาหารจีนสักแห่งไว้ เผื่อใครมีโอกาสไปเยือนเชียงใหม่ จะได้ไปเยี่ยมเยียนลองชิมอาหารที่ร้านแห่งนี้ดู

ร้านที่จะแนะนำในวันนี้ชื่อ "ห้อยเทียนเหลา" ครับ ฟังชื่อแล้วอาจจะนึกว่าเป็นภัตตาคารหรูตั้งอยู่ในโรงแรมอะไรทำนองนั้น แต่ไม่ใช่เลยครับ ห้อยเทียนเหลาเป็นร้านอาหารจีนเล็ก ๆ อยู่ริมถนนนี่เองครับ เจ้าของเคยเป็นเชฟร้านอาหารจีนอยู่ที่โรงแรมรอยัล ปรินเซสที่เชียงใหม่นานเป็นสิบ ๆ ปี ดังนั้น รสชาติอาหารจึงมั่นใจได้ครับ และมั่นใจได้เช่นกันในเรื่องราคา เพราะราคาไม่ได้สูงเลย เรา ๆ ท่าน ๆ สามารถไปนั่งกินได้โดยไม่ต้องกลัวกระเป๋าฉีก อย่างอาหารจานเดียวเช่น ข้าวผัด หรือก๋วยเตี๋ยวราดหน้า แบบจานเล็ก ก็ราคาแค่ 40 บาทเท่านั้นเอง ส่วนอาหารจานอื่น ๆ ก็อยู่ในราว 60-80 เท่านั้นครับ

อาหารที่ผมไปทีไรต้องกินทุกครั้งก็ได้แก่ เนื้อกะทะร้อน ออส่วนจานร้อน ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าเนื้อ หรือปลาเต้าซี่ กระเพาะปลาผัดแห้ง และอย่าเผลอทานจนอิ่มแปล้นะครับ เพราะต้องตบท้ายด้วยกะลอจี๊ ขนมโบราณซึ่งหาทานได้ยากในปัจจุบัน เค้าเอาแป้งลงทอดจนข้างนอกกรอก ข้างในนุ่ม โรยหน้าด้วยน้ำตาลผสมงาดำ ต้องทานตอนร้อน ๆ นะครับ อร่อยสุด ๆ

ร้านนี้ตั้งอยู่บนถนนวงแหวนรอบกลางนะครับ ถ้ามาจากเลียบคลองชลประทาน (ตรงตลาดต้นพยอม) ตรงมาเรื่อย ๆ จนถึงสามแยกไฟแดงทางซ้ายมือที่มีลูกศรบอกว่าไปแม่ฮ่องสอน (จริง ๆ ก็คือไปถนนเส้นเชียงใหม่-หางดงนั่นเอง) ก็ให้เลี้ยวซ้ายได้เลยครับ (หากเลยแยกตรงนี้ไปจะเป็นตลาด จำชื่อไม่ได้ แต่ไส้อั่วที่นี่อร่อยดีนะครับ ชื่อไส้อั่วเก๊ามะขาม) เมื่อเลี้ยวซ้ายเข้าไปแล้ว ตรงไปประมาณ 100-200 เมตร ร้านอยู่ด้านขวามือ เห็นป้ายชื่อร้านสีเหลือง ๆ อยู่ ต้องกลับรถก่อนที่ยูเทิร์นแรก

หากมาจากเซ็นทรัลแอร์พอร์ตอาจจะง่ายกว่าครับ ตรงมาเรื่อย ๆ ทางไปหางดง พอถึงถนนวงแหวนก็เลี้ยวขวาเข้าไป ตรงไปจนถึงเกือบสุดถนน ร้านอยู่ทางซ้ายมือ ถ้าจะไปทานมื้อกลางวัน อย่าไปช้าเกินบ่ายสองนะครับ เพราะเค้าจะปิดพัก แจ้งไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน :-)อย่าลืมไปลองชิมกันนะครับ

Wednesday, August 4, 2010

ดัชนี Big Mac (จาก The Economist)

http://www.economist.com/node/16646178?story_id=16646178

บทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับดัชนี Big Mac หรือ Big Mac Index ซึ่งเป็นตัววัดอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกว่า มีค่าสูงกว่า (overvalued) หรือต่ำกว่า (undervalued) อัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นอยู่ตอนนี้ โดยอาศัยทฤษฎีของ Purchasing Power Parity (PPP)

หมายเหตุ อาจจะออกนอกธีมของเราหน่อยนะครับที่เน้นเรื่องกิน เที่ยว แต่เห็นว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่อง "กิน" เหมือนกัน เลยเอามาลงให้อ่านกันเล่น ๆ น่ะครับ