Wednesday, March 25, 2009

ไปอังกฤษ ตอน ขอวีซ่า (ปี 2009)








การขอวีซ่า

เดี๋ยวนี้สถานทูตอังกฤษเขาให้เอกชนมาดำเนินการเรื่องขอวีซ่าแล้ว โดยตั้งอยู่ที่ถนนราชดำริ แถวสถานีราชดำริ เปิดให้ขอจันทร์ - ศุกร์ 8.30-15.00 น. ได้ยินมาว่า ถ้าไม่ได้นัดไปนี่ รอเป็นชั่วโมง ๆ ดังนั้น จึงควรนัดออนไลน์ไปก่อนที่ VFS Global

พร้อมกับกรอก application ออนไลน์ไปด้วยเลย และ print ไปในวันไปขอวีซ่าด้วย เพื่อจะได้ไม่ต้องรอเสียอารมณ์

เอกสารที่ใช้ก็คล้าย ๆ กับการขอวีซ่าที่อื่น ๆ ก็คือ
1. หลักฐานการจองที่พัก
2. หลักฐานการจองตั๋วเครื่องบิน
3. หลักฐานการเงิน (สำเนาสมุดธนาคาร) รวมถึงพวกเอกสารการเงินทั้งหลายแหล่ของเราเองที่มี
4. หนังสือรับรองการทำงาน
5. รูปถ่าย 4.5 x 3.5 มม. ฉากหลังขาว
6. itinerary และถ้ามีแผนการใช้จ่ายเงินด้วยก็จะดี
7. ใบทะเบียนสมรส ทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน
8. Cashier's Cheque สั่งจ่าย British Embassy ราคา 65 ปอนด์ ตอนที่เราไปขอนี่ก็ 3380 บาท (เม.ย.52)

หลังจากที่กรอกวีซ่าแบบออนไลน์ที่ visa4uk ไปแล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องกรอกรวดเดียวจบหรอก เพราะมันเยอะเหลือเกิน สามารถกรอกทีละนิด แล้ว save ไว้ได้ ซึ่งระบบก็จะเก็บข้อมูลของเราไว้ 7 วัน เมื่อเข้ามากรอกอีกก็สามารถย้อนกลับไปแก้ไขข้อมูลได้ตลอด แต่ขอเตือนว่าข้อมูลที่จะกรอก เยอะจริง ๆ

เมื่อกรอกเสร็จแล้ว ก็ submit ทางออนไลน์นั่นแหละ แล้วก็ print ออกมา เซ็นชื่อไว้และนำไปใช้ขอวีซ่าด้วย

สถานที่ขอวีซ่าก็อยู่ที่ชั้น 2 อาคารรีเจนท์ เฮาส์ ลงสถานี BTS ราชดำริ เดินขึ้นไปทาง AUA เลยไปอีกนิดนึง ถ้าหากมีข้อสงสัยอะไรสามารถติดต่อได้ที่ 02-800-8050 เจ้าหน้าที่ยินดีตอบคำถามตลอดเวลา

เรานัดยื่นวีซ่าไว้วันจันทร์ที่ 6 เมษา ซึ่งเป็นวันหยุดวันจักรี จะได้ไม่ต้องเสียเวลาลางานไปทำ

ตอนนี้ก็พร้อมจะไปขอวีซ่าแล้ว...

วันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2552

ออกจากบ้านตอน 9 โมง 15 เดินทางไปอาคาร Regent House ไปถึง 9 โมงครึ่งเศษ ยามโบกให้จอดหน้าตึกเลย ไม่ต้องวนขึ้นที่จอดรถ โชคดีจริง ๆ ...

ขึ้นไปที่ทำการชั้น 2 เอไปถามเจ้าหน้าที่ว่าจะให้เข้าได้เมื่อไหร่ แล้วก็เดินหน้าตาตื่นมา ปรากฏว่า Cashier's Cheque ที่แลกไว้ดิบดีที่ 3,380 บาท พอถึงวันนี้ กลายเป็นเปลี่ยนไปอยู่ที่ 3,484 บาท หน้าตาเฉย คราวนี้ทำไงดีล่ะ เจ้าหน้าที่ก็พูดแบบตัดไมตรีว่า พึ่งรู้วันนี้เหมือนกัน (ไม่อยากเชื่อว่านี่หรือการทำงานของหน่วยงานขอวีซ่าประเทศอังกฤษ!) คนอื่นก็รีบไปที่แบงค์ตามห้างกันหมดแล้ว (เพราะเป็นวันหยุด)

ยังไงดีล่ะ ทีนี้ เลยต้องบึ่งไปโลตัสพระราม 4 ไปถึงปรากฏว่ามี ธ.กสิกร แต่ดันเปิด 11 โมงซะอีก เลยข้ามฟากไปคาร์ฟูร์ มี BBL กะ SCB ตัว BBL เปิด 10 ครึ่ง ต้องรออีกครึ่งชั่วโมง พวกมารับเช็คช่วยชาติก็เยอะเลย เสียอารมณ์จริง ๆ กว่าจะซื้อเช็คเรียบร้อยก็เข้าไป 11 โมงพอดี

เดินทางไปถึงที่ Regent ราว 11 โมงกว่า คราวนี้รอแป๊บนึง แล้วก็ได้เข้าเคาน์เตอร์เลย ใช้เวลาประมาณ 20 นาที เสร็จแล้วก็ไปทำ biometric คือ สแกนนิ้วมืออีกไม่ถึง 10 นาทีก็เสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่าจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 15 วันทำการ จะเสร็จทันไปมั้ยเนี่ย....

สามารถตรวจสอบสถานะใบสมัครได้ที่ http://www.ukvac-th.com/ ครับ

หลังสงกรานต์เข้าเช็คสถานะตอนบ่ายวันที่ 16 เม.ย. แจ้งว่าได้แล้ว เลยขอลาไปรับวีซ่าดีกว่า ใจหายใจคว่ำว่าจะเสร็จไม่ทันซะอีก ไปถึงรับบัตรคิวต้องนั่งรอประมาณ 40 กว่าคิว เป็นคิวสำหรับรับวีซ่าโดยเฉพาะ แยกต่างหากจากคิวขอวีซ่า แต่ก็ไม่ค่อยนานนัก สัก 25 นาทีก็ถึงคิวแล้ว ได้รับซองสีขาวมา 2 ซองบรรจุพาสปอร์ต สมุดธนาคาร รวมถึงหลักฐานอื่น ๆ ที่ยื่นไป และรูปถ่าย 1 ใบที่แนบไปก็ยังคืนกลับมาให้ด้วย หน้าตาของวีซ่าอังกฤษคล้ายคลึงกับวีซ่า Schengen ทั่วไปนั่นแหละครับ

ทีนี้ก็พร้อมทุกอย่างแล้วสิ...


Wednesday, March 18, 2009

ไปอังกฤษ ตอน ความคิดเริ่มแรก







อังกฤษที่มาถึง

เมื่อเห็นค่าเงินปอนด์ค่อย ๆ หล่นลงเรื่อย ๆ จากปอนด์ละเจ็ดสิบกว่าบาท กลายมาเป็นปอนด์ละ 50 บาท เราก็เริ่มคิดถึงการไปเยือนอังกฤษขึ้นมาทันที อันที่จริง อังกฤษเป็นสถานที่แรก ๆ ที่อยู่ในลิสต์ท่องเที่ยวของเรามาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ด้วยความที่เหมือนกับเป็น "ของตาย" ทำให้เราข้ามผ่านประเทศนี้แล้วก็ดึงเอาประเทศอื่น ๆ แซงหน้าขึ้นมาโดยตลอด

แต่ในราวต้นปี 52 เอก็ได้เปรยขึ้นมาว่า "เงินปอนด์ลดลงมาเยอะแล้วนะ ไปอังกฤษกันเถอะ" (คล้าย ๆ ไปเยาวราชกันเถอะ!!!) หลังจากนั้น หนังสือนำเที่ยวลอนดอนก็ถูกหยิบมาปัดฝุ่นอ่านทันที เริ่มจาก "เที่ยวไม่ง้อทัวร์ ตีตั๋วตะลุยลอนดอน" ซึ่งค่อนข้างจะมีประโยชน์พอสมควร นอกนั้น ก็ได้สั่งซื้อหนังสือ "Rick Steves' London 2008" จาก amazon.com มาเพื่ออ่านประกอบเพราะมีแผนที่ที่อ่านง่าย แม้จะน้ำมากไปนิด



ช่วงเวลาเดินทาง

มีช่วงเวลาให้เลือกอยู่ 2 ช่วง คือ สงกรานต์ และช่วงวันหยุดต้น พ.ค. แต่เนื่องจากพี่แพง แม่บ้านที่บ้าน ต้องกลับไปเยี่ยมบ้านที่อีสานช่วงสงกรานต์ พวกเราจึงจำเป็นต้องอยู่เฝ้าบ้านแทน ดังนั้น ช่วงเวลาที่จะไปเลยตกเป็นของ พ.ค. แบบไม่ต้องมีชอยส์ พวกเรากะว่าจะไปคืนวันพฤหัสที่ 30 เม.ย. กลับมาอีกทีวันจันทร์ที่ 11 พ.ค. เท่ากับไป 12 วัน (รวมเดินทางด้วยเหมือนกำหนดการของ บ.ทัวร์) แต่ลาแค่ 4 วัน กำไรสุดสุด...



ค่าเงินปอนด์และตั๋วเครื่องบิน

เมื่อปลาย ม.ค. ค่าเงินปอนด์ตกต่ำเรื่อย ๆ เลยตัดสินใจแลกเงินไปก่อน 800 ปอนด์ ซื้อความเสี่ยงไป โดยแลกได้ราคา 49.6 บาท ซึ่งนับเป็นครึ่งหนึ่งของยอดที่ตั้งใจจะนำไปเป็น pocket money

จากนั้น ในวันเกิด (4 ก.พ.) ได้สืบเสาะหาตั๋วเครื่องบินราคาไม่แพงไปลอนดอนได้ (ที่จริงได้ลอง search หาหลากหลายสายการบินมาเยอะมาก แต่เจ้าที่ราคาถูก เวลาก็ไม่ดี เจ้าที่เวลาดี ราคาก็ไม่ถูก) อยากจะไป TG อุดหนุนคนไทยด้วยกันเหมือนกัน แต่จนใจที่ราคาโปรของเขาเนี่ย ถึงแค่สิ้นเดือน มี.ค. เท่านั้นเอง จะรอว่ามีการต่อโปรหรือเปล่าก็กลัวจะไม่ได้ตั๋วถูก เพราะช่วงที่ไปค่อนข้างเป็นจังหวะที่ดี วันหยุดเยอะพอสมควร

ตั๋วที่ได้เป็นของ Qatar Airways สายการบิน 5 ดาว (เฉพาะ first class นะ economy ไม่เกี่ยว 555) ได้ในราคา 2 หมื่นถ้วน ถ้ารวม tax&fuel surcharge แล้ว อยู่ที่ 31,145 บาท (เจ็บใจที่ตอนซื้อนั่นเค้ายังไม่ลดค่า fuel sur. เลยแพงไปนิด) แต่ก็โอ...

หลังจากที่แลกเงินไปแล้วครึ่งหนึ่ง ปรากฏว่าเงินปอนด์พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเล่นเอาใจเสียว่า อีกครึ่งนึงจะต้องแลกแพงหรือเนี่ย แล้วในที่สุด ราว ๆ กลางเดือน มี.ค. เกิดมีข้อมูลว่าเศรษฐกิจของอังกฤษทำท่าจะไม่ดี เลยคาดเดาเอาว่า เงินปอนด์น่าจะร่วงลงได้แล้ว เลยเตรียมถือเงินเอาไว้เพื่อจะแลกทันที

เป็นอย่างที่คิด หลังจากนั้น 2-3 วัน เงินปอนด์ร่วงมาที่ 50.5 บาท เลยโทรถามเอว่าจะเอามั้ย เอบอกเอาทันทีเพราะจะได้ถัวเป็นที่ 50 บาทพอดี เลยแลกมาอีก 800 ปอนด์ ปรากฏว่า หลังจากแลกไปแล้ว ดูข้อมูลของวันรุ่งขึ้น ค่าเงินร่วงต่อมาที่ 50.2 เกิดอาการเซ็งเล็กน้อย ดีที่หลังจากนั้น เงินปอนด์ก็กลับสูงเอาสูงเอาจน ณ วันที่เขียน (25 มี.ค.) ไปถึง 52.4 ไปซะแล้ว โชคดีจริง





ที่พัก

ตอนนี้ก็จัดการเรื่องต่าง ๆ ไปพอสมควรแล้ว อีกเรื่องที่สำคัญคือ ที่พัก ในเรื่องนี้ก็ได้ศึกษาจากทั้งหนังสือท่องเที่ยว (รวมทั้ง Lonely Planet) และ website ต่าง ๆ มากมาย ดูกันจนเวียนหัวไปหมด ต้องยอมรับว่าที่อังกฤษที่พักแพงได้ใจจริง ๆ สูสีกับที่สวิสเลยทีเดียว จะหาราคาแบบบ้านเรานี่ยากมาก ๆ หาไปหามา ในที่สุดก็มาได้ที่ Cherry Court Hotel ซึ่งอยู่แถบ Victoria (ต้องยกเครดิตให้กับหนังสือเที่ยวไม่ง้อทัวร์ฯ ที่เขาแนะนำย่านนี้เอาไว้ว่าสะดวกมากมาย) ได้ที่ราคา 55 ปอนด์ ห้องคู่มีห้องน้ำในตัว (ราคาปกติ 60 ปอนด์ แต่พวกเราอยู่ 9 คืน เขาเลยลดราคาให้ 5 ปอนด์)

ประกอบกับดู review ตาม tripadvisor แล้ว จัดอยู่ในเกณฑ์ดี มีบ่นไม่มาก (หลัก ๆ จะเป็นเรื่องความแคบของห้อง) แต่ก็อย่างว่า ไปเที่ยวทั้งที อยู่ห้องแค่ตอนหลับเท่านั้น เก็บเงินไว้ทำอย่างอื่นดีกว่า



ต่อไปก็ต้องเตรียมขอวีซ่า....